หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

น้องจ๋าอย่าร้องไห้ แม่จวนจะกลับแล้ว

น้องจ๋า อย่าร้องไห้ แม่จวนจะกลับแล้ว
วันหนึ่งในฤดูหนาว บนต้นไม้มีรังนกอยู่รังหนึ่ง พ่อนกได้ถูกคนใช้ปืนยิงตายไปหลายวันแล้ว แม่นกจึงต้องเลี้ยงดูลูกนก 4-5 ตัวด้วยตนเอง วันนี้แม่นกยังคงออกไปหากินตามปกติ "ลูกจ๋า แม่จะไปหาอาหารมาให้ลูกกินเดี๋ยวก็กลับ ลูก ๆ ต้องอยู่แต่ในบ้านนะ อย่าเที่ยวร้องเที่ยวซุกซนนะเด็กดี" สั่งเสียเสร็จแม่นกก็จากไปด้วยความเป็นห่วง มันไปที่กอหญ้าริมน้ำคุ้ยเขี่ยหาตัวหนอนด้วยความยากลำบาก เมื่อหาได้แล้วก็คาบไว้ในปาก ค่อย ๆบินกลับรังตลอดทางมันคิดถึงพ่อนก คิดถึงตอนที่พ่อนกถูกยิงตายในชั่วเสี้ยววินาที มันปวดร้าวหัวใจจนน้ำตาคลอ
ทันใดนั้นพญามัจจุราชก็มาเยือนอีก ปัง! มันร้องได้คำเดียว "ลูกจ๋า แม่ขอลาก่อน แม่ขอโทษลูกด้วย ลูก......" หัวใจมันแตกสลาย ที่สุดมันก็ตายเลือดกลบปาก ลมหนาวพัดกรรโชกมาที่รังนก ลูกนกที่น่าสงสารคอยแม่ตั้งแต่กลางวันจนถึงค่ำ จนถึงรุ่งเช้า แล้วก็คอยตั้งแต่กลางวันจนถึงค่ำอีก พวกมันรู้สึกว้าเหว่และหวาดกลัว "พี่จ๋า หิวจัง พี่จ๋า หนาวจัง" "น้องจ๋า อย่าร้องไห้ แม่จวนจะกลับแล้วๆ" "พี่จ๋า หนาวจัง พี่จ๋าหิวจัง" น้องจ๋า อย่าร้องไห้ แม่จวนจะกลับแล้วๆ
 .. บทความดีๆ นิทานคติธรรมสอนใจ นิทานคุณธรรม

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

นิทานสอนใจ "เรื่องถ้วยเก่ากับคนแก่"


ครั้งหนึ่ง มีบ้านหลังหนึ่งมีสามี ภรรยา ลูกชาย และอาม่าแก่ๆคนหนึ่ง อาม่าแก่มากและไม่แข็งแรง มีอาการมือสั่นตลอดเวลา ทำให้ถือของลำบาก โดยเฉพาะ เวลาที่อาม่าทานข้าวร่วมกับครอบครัว อาม่าจะถือชามข้าวได้ลำบากและทำข้าวหกลงบน โต๊ะตลอดเวลา

 ลูกสะใภ้อาม่ารำคาญกับเรื่องนี้มาก จึงปรึกษากับสามี ว่าเวลาอาม่า ทานข้าวเขาจะทำข้าวหกเกลื่อนโต๊ะ นางทนไม่ได้เพราะมันทำให้รู้สึกกินข้าวไม่ลง สามีก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะเขาไม่สามารถทำให้อาม่าหายมือสั่นได้

 อีกไม่กี่วัน ลูกสะใภ้ก็พูดกับสามีเรื่องนี้อีก ว่าจะไม่แก้ไขอะไรเลยหรือ นางทนไม่ได้แล้ว หลังจากโต้เถียงกันไปสักพัก สามีก็ยอมตามภรรยา โดยเมื่อ ถึงเวลาทานข้าว เขาจะจัดให้แม่นั่งแยกโต๊ะต่างหากเพียงคนเดียว และใช้ถ้วยข้าว ถูกๆบิ่นๆ เพราะอาม่าทำถ้วยแตกบ่อยๆ

 เมื่อถึงเวลาทานข้าว อาม่าเศร้าใจมาก เพราะอาม่าก็ไม่มีปัญญาจะแก้ไข อะไรได้ นางนึกถึงอดีต ที่นางเลี้ยงดูลูกชายด้วยความรักเสมอมา นางไม่เคยบ่นต่อ ความเหนื่อยยาก และเวลาที่ลูกชายเจ็บไข้นางก็ดูแลอย่างดี เวลาลูกชายมีปัญหาก็ ช่วยแก้ไขทุกครั้ง แต่ตอนนี้อาม่ารู้สึกว่าถูกทิ้ง อาม่าเสียใจมาก
 หลายวันผ่านไป อาม่ายังเศร้าใจ รอยยิ้มเริ่มจางหายไปจากใบหน้าของเขา หลานชายน้อยๆของอาม่าซึ่งเฝ้าดูทุกอย่างมาตลอดก็เข้ามาปลอบใจและบอกคุณย่า ว่า เขารู้ว่า คุณย่าเสียใจมากที่พ่อแม่ของเขาทำแบบนี้ แต่หลานชายมีวิธีที่จะให้อา ม่ากลับไปทานข้าวรวมกับทุกคนได้
 ความหวังเริ่มเกิดขึ้นในหัวใจของหญิงชรา จึงถามหลานชายว่าจะทำอย่าง ไร หลานก็ตอบว่าเย็นนี้ให้คุณย่าแกล้งทำชามของคุณย่าตกแตกเหมือนกับไม่ได้ ตั้งใจ อาม่าได้ฟัง ก็แปลกใจ แต่เด็กน้อยยืนยันว่า ให้คุณย่าทำตามที่บอก ที่เหลือปล่อย เป็นหน้าทีของหลานเอง
 และแล้วเมื่อได้เวลาอาหารเย็น หญิงชราก็ตัดสินใจลองทำตามที่หลานพูด เพื่อจะดูว่าหลานมีแผนอะไร หญิงชรายกถ้วยข้าวเก่าที่เต็มไปด้วยรอยบิ่นขึ้นแล้ว แกล้งปล่อยลง บนพื้นเหมือนกับหลุดมือ ถ้วยข้าวเก่าๆแตกกระจายยับเยิน

 ลูกสะใภ้เห็น ถ้วยแตกเสียหายก็ลุกขึ้นเตรียมจะด่าว่าอาม่า แต่ลูกชายตัวน้อยของนางกลับชิงพูด ขึ้นมาก่อนว่า
 “คุณย่าทำไมทำชามแตกหมดเลยล่ะครับ หนูกะว่าจะเก็บไว้ให้คุณแม่ใช้ตอนแก่นะ แล้วคุณแม่จะได้ใช้ชามเก่าที่ไหนกันล่ะเนี่ย…”
 ลูกสะใภ้เมื่อได้ยินลูกชายพูดเช่นนี้ก็หน้าซีดและด่าอาม่าไม่ออกอีก ต่อไป นางรู้ทันทีว่าสิ่งที่นางทำจะเป็นตัวอย่างให้ลูกชายของนางปฏิบัติเมื่อนาง แก่ตัวลง นางรู้สึกอับอายและสำนึกกับการกระทำของตัวเอง ตั้งแต่นั้นมา ทุกคนก็ทานข้าวรวมกันมาตลอด นิทานสอนใจ
แหล่งที่มา :http://www.tumsrivichai.com
ขอขอบคุณ : ภาพประกอบ จากhttp://www.oknation.net/blog/chainew
http://www.thaiscooter.com/forums/showthread.php

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

ลูกน้อง 4 แบบ คุณมีแบบไหนมากกว่ากัน

ในการทำงานร่วมกับลูกน้อง หรือทีมงานของเรา ในฐานะที่เราเป็นหัวหน้าเราย่อมจะต้องการให้ลูกน้องของเราแสดงความสามารถในการทำงานอย่างเต็มที่ และอยากให้เขาพัฒนาตนเอง พร้อมกับดึงเอาศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ในการทำงานอย่างดีที่สุด
คำถามก็คือ คุณมีลูกน้องกี่คนที่เป็นอย่างที่คุณต้องการลองมาดูลูกน้องแต่ละแบบว่า จริงๆ แล้วคุณเองมีลูกน้องแบบไหนมากกว่ากันนะครับ
  • แบบที่ 1 ลูกน้องที่มีเป้าหมายในการทำงานชัดเจน และแสดงความสามารถในการทำงานเพื่อไปสู่เป้าหมายนั้นๆ ได้อย่างดี ลูกน้องแบบนี้จะเป็นคนที่มีความพยายาม และมีจิตใจมุ่งมั่นในการทำงานมาก แม้ว่ารู้ว่างานนั้นจะยากแค่ไหน แต่ลูกน้องประเภทนี้จะพยายามทำมันให้สำเร็จให้ได้
  • แบบที่ 2 ลูกน้องที่ดูเหมือนจะดูดี ขยันขันแข็ง แต่ถึงเวลาที่มอบหมายงานที่ยากๆ หรืองานที่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ลูกน้องประเภทนี้มักจะปฏิเสธ และไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ รวมทั้งไม่ค่อยอยากจะทำงานอะไรที่อยู่นอกเหนือจากหน้าที่และความรับผิดชอบของตนเอง เข้าประเภทว่ารับปาก แต่ไม่ทำอะไร
  • แบบที่ 3 ลูกน้องประเภทที่ต้องการเงินเดือนสูงๆ แต่ไม่อยากทำอะไรเลย พร้อมกันนั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง แต่พอถึงเวลาจะขึ้นเงินเดือน หรือจ่ายโบนัส ก็จะมาบ่นมาขอ อยากได้เยอะๆ แต่งานการกลับไม่ทำอะไรเลย เพื่อแสดงว่าเขาสมควรจะได้รับ

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทานเรื่องสั้นขำขำ กระต่ายกับหมี

นิทานเรื่องสั้นขำขำ กระต่ายกับหมี กบวิเศษให้พร 3 ประการ แก่เจ้ากระต่ายและหมี ลองมาดูว่าพรทั้ง 3 ข้อนั้นเป็นอย่างไร เรื่องสั้นขำๆ

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีกบวิเศษตนหนึ่ง อาศัยอยู่ในป่าซึ่งเป็นป่าดงดิบ ลึกลับยากที่จะมีมนุษย์หรือสัตว์ชนิดใดเดินทางไปถึง

แต่แล้ววันหนึ่งกบวิเศษได้ยินเสียงสัตว์สองชนิดวิ่งไล่กวดกันมาอย่างเอาเป็นเอาตาย ที่แท้มันคือหมีตัวใหญ่กำลังไล่ล่ากระต่ายเจ้าเล่ห์เพื่อนำไปทำดินเนอร์มื้อเย็น

กบวิเศษเรียกให้สัตว์ทั้งสองหยุดตอบข้อซักถามเพราะตลอดชีวิตของมันไม่เคยพบหมีและกระต่ายวิ่งไล่กันมาก่อน


"เจ้าทั้งสองวิ่งกวดกันแทบเป็นแทบตายเพราะเหตุใดหรือ" กบถาม
"มันจะจับข้าทำอาหาร" กระต่ายตอบลิ้นห้อยด้วยความเหนื่อย "อ๋อ เป็นเช่นนี้เอง
เอาเถอะ อย่าทำร้ายซึ่งกันและกันเลย เราจะให้พรวิเศษเจ้าตัวละ 3 ข้อ
หวังว่าคงจะช่วยลดความขัดแย้งลงได้" ทั้งหมีและกระต่ายรับคำด้วยความยินดี
เจ้าหมีเป็นฝ่ายขอพรก่อน มันคิดอยู่เป็นนาที จึงกล่าวว่า
"ข้าอยากให้หมีทั้งหมดป่าแห่งนี้ยกเว้นตัวข้าเป็นตัวเมียทั้งสิ้น"
กล่าวเสร็จมันพลันตัวสั่นขนพองด้วยความสยิว
กลิ่นสาบสาวจากหมีตัวเมียฟุ้งไปทั่วป่า
กระต่ายผู้น่าสงสารของเพียงหมวกกันน็อกหนึ่งใบ "เจ้ากระต่ายปัญญาอ่อนหน้าโง่
ถ้ามันขอเงินสักพันล้านมันสามารถซื้อหมวกกันน็อกได้หลายล้านใบ แต่ช่างเถอะ
ไม่ใช่ธุระอะไรของเรา"

เจ้าหมีบ้าเซ็กซ์ ขอพรข้อ2 ซึ่งมันคิดอยู่นาน ประมาณ 3นาทีก่อนจะกล่าวว่า

"ข้าปรารถนาให้หมีทุกตัวในป่าถัดไปกลายเป็นตัวเมียทั้งสิ้น"
กล่าวเสร็จตัวมันพลันน้ำลายไหลยืดด้วยความสยิว หมีตัวเมียเพิ่มอีกนับร้อยตัว
มันจะตั้งฮาเร็มหมี

กระต่ายน้อยขอมอเตอร์ไซต์หนึ่งคัน เมื่อได้สมปรารถนามันก็สวมหมวกกันน็อก
ขึ้นคร่อมและสตาร์ทรถทันที

หมีใหญ่ขอพรข้อสุดท้าย "ข้าปรารถนาให้หมีทุกตัวในโลก ยกเว้นตัวข้า
กลายเป็นหมีตัวเมียทั้งสิ้น" โอ .. มันแทบจะรอไม่ไหวแล้ว
แต่แล้วเจ้าหมีมันถึงกับช็อค เมื่อได้ยิน กระต่ายน้อยขอพรข้อที่ 3 ก่อนบึ่งรถหนีไปในทันที

>>>>>ข้าขอให้เจ้าหมีตัวนี้เป็นเกย์<<<<<
นิทานเรื่องสั้นขำขำ

วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

นิทานธรรมะ เรื่อง เทวดากับหนอน

นิทานเกิดขึ้นที่ข้างส้วมแผนโบราณ แห่งหนึ่ง ในหลุมนั้นมีหนอนเจริญเติบโต อยู่ทุกขนาด ดำผุดดำว่าย อยู่อย่างยัวเยี้ย นับด้วยหมื่นด้วยแสน ท่านสมภาร ได้ชี้ให้เด็กๆ ดูในแง่ธรรมะที่ว่า หนอนเหล่านี้ กำลังมึนเมา อยู่ในของเน่าเหม็นและหลับหูหลับตา จมอยู่ในของสกปรก อย่างน่าสมเพช ซึ่งถ้านำไปเปรียบ กับเหล่าเทพยดา ในฉกามาวจรวรรค์แล้ว ก็จะชวนให้ สมเพช ยิ่งขึ้นไปอีก จนสุดที่จะทนไหวทีเดียว ใครๆ อย่าหลงพอใจในของสกปรก เหมือนหนอน
  หนอนหลายตัว ได้ยินคำพูดเหล่านั้น! หนอนบางตัว ได้คิดว่า แท้จริง ความพอใจในรสนิยม ของพวกเรา กับของเทพยดาทั้งหลาย ก็มีได้เท่ากัน และในลักษณะ ทำนองเดียวกัน ทั้งนี้ มันแล้วแต่ ลักษณะของอายตนะ เครื่องรับและเสวยอารมณ์นั้นต่างหาก เราไม่เชื่อท่านสมภาร! หนอนบางตัว ได้พยายามลืมตาขึ้นดู ก็เห็นว่า มันออกจะสกปรก มากมายจริง แต่ทนลืมตาอยู่ไม่ไหว ต้องกลับหลับไปตามเดิม โดยเร็ว เพราะมันได้เห็น สิ่งอื่น ที่สกปรกกว่า อาหารบ้านเรือนของมันเอง จนทนลืมตาอยู่ไม่ไหว!
    มันบอกพวกพ้องของมันว่า ชั่วที่ลืมตาขึ้นแวบเดียว ก็ได้เห็น เทพยดา มนุษย์ทั้งหลาย มีจิตจมอยู่ใน ความมืดมน ถือตัว ถือตน นานาประการ การกระทำทางกายวาจา ก็จมอยู่ในกรรมโสมม เลวทราม เนื้อตัวทั้งสิ้น จมอยู่ในกามารมณ์ กำลังทำสิ่งต่างๆ ด้วยความหลงใหล ในลาภยศ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร อันเป็นทางให้ได้มาซึ่งความมัวเมา ในความสุข ทางเนื้อหนัง ของตน อย่างไม่รู้จักอิ่มจักพอ อีกต่อหนึ่ง ถึงกับต้องอิจฉา ริษยารบราฆ่าฟันกัน ทั้งทางตรงและทางอ้อม อย่างป่าเถื่อน ทารุณ ชนิดที่ไม่เคยมี ในสมัยที่ยังไม่เกิด ส้วมชักโครก แผนปัจจุบันนั้นเลย ศีลธรรมของเขาคือ การกอบโกย ความสุข ทางเนื้อหนัง ใส่ตนอย่างเดียว แล้วเรียกชื่อกันเอาเอง อย่างไพเราะว่า มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ ของฉัน พูดกันดังนั้นแล้ว มันก็ชักชวน กันให้หลับตา ให้ยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่ออย่าให้เสียเปรียบ หรือ ล้าหลัง พวกเทพยดา มนุษย์ทั้งปวง หรือ อย่างน้อยที่สุด ก็ให้พอเคียงคู่กันไป
    นิทานเรื่องสั้นสอนใจ นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า: ผู้ที่พอใจในกามารมณ์ ชื่อเสียงยศศักดิ์ อำนาจวาสนา พวกพ้องบริวาร ทั้งหลายนั้น ขออย่าได้หาญ พยายามลืมตา เป็นอันขาด จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหนอน หรือ ลืมขึ้นมา ก็จะต้องรีบกลับ หลับตา ลงไปใหม่ เหมือนหนอน เหล่านั้นอยู่เอง ซึ่งทำให้เกิด เป็นปัญหา ขึ้นว่า ใครเล่าจะเป็น ฝ่ายชนะ? หรือว่าใครเล่า น่าสมเพช กว่าใคร ในระหว่างพวก เทพยดา ใน ฉกามาวจรสวรรค์ และ หนอนใน ส้วมแผนโบราณ เหล่านั้น?

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การดึงดูด และรักษาคนเก่ง ด้วยอะไรได้บ้าง


การบริหารค่าจ้างเงินเดือนในยุคปัจจุบันนั้นมีความยากมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากมีข้อมูลคู่แข่ง และมีข้อมูลการจ่ายค่าจ้างของบริษัทคู่แข่ง และบริษัททั่วไปในตลาดมากขึ้น ทำให้ข้อมูลถึงกันมากขึ้น พนักงานเองก็มีการศึกษาและหาข้อมูลเหล่านี้ก่อนที่จะสมัครงานกับบริษัทต่างๆ ซึ่งทำให้บริษัทจะต้องสร้างวิธีการในการบริหารค่าจ้างเงินเดือนให้เกิดความเป็นธรรม และแข่งขันได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อดึงดูด และรักษาคนเก่งไว้ให้ทำงานในองค์กร

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องของค่าจ้างเงินเดือนนั้นในปัจจุบันมีข้อจำกัดอยู่มากมายในการจ่าย ตลาดมีการแข่งขันกันสูงมาก บางกลุ่มธุรกิจเรียกกว่าจ่ายค่าจ้างเงินเดือนอยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด แทบจะไม่มีความแตกต่างกันเลย ยิ่งไปกว่านั้น การขึ้นเงินเดือนประจำปีตามผลงานก็ขึ้นปีละไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น และแต่ละบริษัทก็ขึ้นเงินเดือนในอัตราที่ใกล้เคียงกัน คำถามก็คือ แล้วบริษัทเราจะมีวิธีการอย่างอื่นอีกหรือไม่ในการที่จะดึงดูด และรักษาคนเก่งไว้ให้ทำงานกับบริษัทได้นานๆ เพราะเมื่อไหร่ที่เรามีการปรับค่าจ้าง บริษัทคู่แข่งก็ปรับหนีเราไปอีก ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ระบบการจ่ายค่าจ้างในบ้านเราก็จะมีปัญหาอย่างแน่นอน

สิ่งหนึ่งที่องค์กรในบ้านเรายังไม่ค่อยให้ความสำคัญในการนำมาใช้สำหรับดึงดูดและรักษาพนักงาน แต่ในต่างประเทศมีหลายองค์กรที่นำเอาสิ่งเหล่านี้มาใช้ในการบริหารทรัพยากรบุคคลขององค์กรมากขึ้น สิ่งเหล่านี้เราเรียกมันว่า “รางวัลที่ไม่เป็นตัวเงิน” (Nonfinancial Reward)

การทำงานแบบยืดหยุ่น หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกกันว่า Flex time จากผลการวิจัยของ Center for Talent Innovation (CTI) ได้ระบุว่า 87% ของกลุ่ม Baby boomer 79% ของกลุ่ม Gen X และ 89% ของกลุ่ม Gen Y ให้ความสำคัญกับเรื่องของการทำงานแบบยืดหยุ่น โดยเฉพาะกลุ่มคนเก่งๆ ในองค์กรมักจะถูกดึงดูดได้ด้วยโปรแกรมการทำงานแบบยืดหยุ่นของบริษัท ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างความสมดุลย์ให้กับชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว ลักษณะการทำงานแบบยืดหยุ่นที่นิยมใช้กันมากก็คือการกำหนดเวลา

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง

อย่าทำงานซ้ำซ้อนในเวลาเดียวกันเพราะอาจเกิดการผิดพลาดได้ง่าย นอกจากนี้ การแข่งขันยังช่วยกระตุ้นสมองให้โลดแล่นอีกด้วย
"การฝึกฝนทำให้คุณเป็นคนเก่ง" นี่คือคำกล่าวของนักประสาทวิทยาชาวสวีเดน โทร์เคล คลิงเบิร์ก ว่าคนเราควรทำอย่างไรให้ได้ข้อมูลและมีความเข้าใจมากที่สุด
โดยที่เราไม่ต้องใช้สมองจนเกินกำลังหรือไม่ทำให้รู้สึกเบื่อหน่าย เนื่องจากสมองทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในระยะเวลาที่จำกัด แต่เราก็มีวิธีที่จะใช้ศูนย์ความคิดของเราให้มีประโยชน์มากที่สุดเช่นกัน

  • Multitasking คุณกำลังเดินทางไปพบปะพูดคุยธุรกิจและระหว่างทางครุ่นคิดวิธีการเจรจาตกลงต่างๆ คุยโทรศัพท์หรือเขียนจดหมาย แต่การทำงานหลายๆอย่างในคราวเดียวกันมีความเสี่ยงกับความผิดพลาดในการส่งอีเมลล์ผิดให้กับคู่เจรจา ผู้เชี่ยวชาญจึงแนะนำให้ทำงานหรือธุระใดๆก็ตามให้เป็นไปตามลำดับ อย่าทำงานหลายอย่างในคราวเดียวกันเพื่อป้องกันการผิดพลาด
  • สัญชาตญณบอกคุณได้ดีกว่าสมอง  ในแต่ละวันเรามีเรื่องต้องตัดสินใจประมาณ 20,000 เรื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องในชั่วพริบตา และคนเป็นจำนวนมากที่ตัดสินใจโดยไม่รู้ตัว เช่น การทักทายและออกความเห็นในที่ประชุม โดยเฉพาะคนที่ทำงานในออฟฟิต ที่มีเงื่อนไขของเวลาเป็นเรงกดดันในการตัดสินใจ นักจิตวิทยาจึงแนะนำให้ฟังเสียงความรู้สึกของตัวเองหรือสัญชาตญาณที่เรานำ

วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

อย่าจม !! อยู่กับอดีต

อย่าจม !! อยู่กับอดีต (หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ)
ความหนักอกหนักใจ เหนื่อยใจในชีวิตของเราทั่วๆ ไป
อีกประการหนึ่งก็คือ การคิดในเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมา
ไม่ใช่ว่าจะห้ามเสียเลย หามิได้
คิดได้ แต่ว่าต้องคิด ด้วยปัญญา
รื้อมันด้วยปัญญา สร้างขึ้นด้วยปัญญาตลอดเวลา
อย่างนั้นสิ่งนั้นจะเป็นประโยชน
ไม่เป็นความเสียหายในการที่เราจะคิด
เพราะเอามาศึกษาค้นคว้าในเรื่องอย่างนั้น
ว่าสิ่งนี้มันเกิดขึ้นอย่างไร ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไปในสภาพอย่างไร
เราจะได้จดจำไว้เป็นบทเรียนสำหรับชีวิตของเราต่อไป
คิดแบบวิเคราะห์วิจัยอย่างนี้ไม่เสียหาย
แต่ว่าโดยมากหาได้คิดในรูปนั้นไม่ เอามาคิดในรูป
ที่มันจะสร้างปัญหา คือ ความทุกข์ความเดือดร้อนแก่ตนทั้งนั้น
คือ คิดด้วยความโง่เขลา ไม่ได้คิดด้วยปัญญา ในเรื่องอะไรต่างๆ
เรื่องบางเรื่องมันผ่านพ้นไปตั้งนาน แล้ว

แต่เราก็เอามาคิด พอคิดแล้วก็เกิดความไม่สบาย
ใจเป็นทุกข์ขึ้นมาก็เพราะเรื่องอย่างนั้น
บางคนถึงกับว่าน้ำตาไหล ถามว่าทำไมจึงน้ำตาไหล
แหมคิดถึงเรื่องเก่าแล้วฉันเศร้าใจเหลือเกิน...
ก็มันเรื่อง อะไรที่ไปคิดให้เศร้าใจ
อยู่ดีๆ ไม่ว่า ไปหาเรื่องให้เกิดความทุกข์ความ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

การเป็นผู้นำ

ผู้นำ คือ บุคคลที่สามารถกระตุ้น ชี้นำ แนะแนวทาง สนับสนุน ช่วยเหลือ และรับผิดชอบให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลกระทำกิจกรรม หรือปฏิบัติงานต่างๆ อย่างเต็มความสามารถและพยายามให้บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ผู้นำเป็นบุคคลที่มีลักษณ์และคุณสมบัติที่ทำให้องค์การประสบความสำเร็จ โดยใช้อิทธิพลจูงใจ ให้ผู้อื่นปฏิบัติตามหรือการกระทำหรือการแสดงออกของบุคคล ซึ่งมีบุคลิกสามารถชักจูงใจคนให้ปฏิบัติตามเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์การ 
ลักษณะของผู้นำ
เป็นนักวิเคราะห์และมีวิสัยทัศน์ 
เป็นนักการทูต 
เป็นนักการเมือง / การปกครอง 
เป็นผู้มีสติปัญญา มีเหตุผล 
เป็นผู้มีความรอบรู้ แนะนำงานได้ 
เป็นผู้มีความยืดหยุ่น 
เป็นผู้สามารถวินิจฉัยแยกแยะความจริง 
เป็นผู้มีความซื่อสัตย์ ยุติธรรม 
เป็นผู้ที่กำหนดเป้าหมายได้ชัดเจน 
เป็นผู้สามารถแบ่งทรัพยากร 
เป็นผู้สามารถเจรจาข้อขัดแย้ง 
เป็นผู้เชื่อมั่นในตนเองกล้าตัดสินใจ 
เป็นผู้ประนีประนอม ประสานประโยชน์รู้จักคัดเลือกคน 
เป็นผู้เสียสละ   ใจกว้าง
เป็นตัวอย่างที่ดี 
เป็นผู้มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ 
เป็นผู้แบ่งงานได้อย่างเหมาะสม

วันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

เวลาพนักงานทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หัวหน้าทำอย่างไร

ทุกท่านที่เป็นหัวหน้าย่อมจะต้องเคยประสบกับพฤติกรรมของลูกน้องที่พึงประสงค์ และพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ นอกจากพฤติกรรมแล้ว ก็ยังมีเรื่องของผลงานที่ออกมาไม่เข้าตาบ้าง หรือลูกน้องบางคนอาจจะมีผลงานที่ดีมาก ประเด็นก็คือ ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้า ท่านจะทำอย่างไรบ้างในกรณีที่พนักงานมีพฤติกรรมและผลงานที่ดี และในกรณีที่พนักงานมีพฤติกรรมและผลงานที่ไม่ดี ท่านจะทำอย่างไร
ในกรณีที่พนักงานมีพฤติกรรมที่ดี ประพฤติปฏิบัติตนในทางที่ถูก ไม่เคยทำผิดระเบียบข้อบังคับต่างๆ ของบริษัทเลย ในฐานะที่ท่านเป็นหัวหน้าท่านจะทำอย่างไรกับพนักงานคนนี้ดี
ในทางปฏิบัติ หัวหน้าส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมองเห็นพนักงานกลุ่มนี้สักเท่าไหร่ ก็เพราะว่าพนักงานไม่ได้ทำอะไรผิดแผกแตกต่างไปจากสิ่งที่ควรจะเป็น หัวหน้าก็เลยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับพฤติกรรมอันไม่พึงประสงค์ ยิ่งไปกว่านั้นหัวหน้ามักจะไม่ค่อยใส่ใจ หรือให้ความสนใจเลยด้วยซ้ำไป ลืมให้คำชม ลืมให้คำพูดที่แสดงให้ลูกน้องกลุ่มนี้เห็นว่าเราชอบพฤติกรรมแบบที่เขาทำจริงๆ หัวหน้าส่วนใหญ่ มักจะนิ่งเฉย
ส่วนลูกน้องที่มีพฤติกรรมที่ไม่ดีนัก ทำงานไปเล่นไป เวลางานก็เอาอย่างอื่นขึ้นมาทำ บ้างก็ปฏิบัติผิดกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท ยิ่งไปกว่านั้นบางคนก็ยังไม่สามารถที่จะสร้างผลงานที่ได้มาตรฐานได้เลยด้วยซ้ำไป แล้วถ้าลูกน้องท่านเข้าข่ายแบบนี้ ท่านจะทำอย่างไรบ้าง
ในทางปฏิบัติ หัวหน้าส่วนใหญ่ก็มักจะไม่ค่อยกล้าทำอะไรกับลูกน้องกลุ่มนี้มากนักเช่นกัน มักจะปล่อยให้ลูกน้องทำในสิ่งที่เขาอยากจะทำ จนกระทั่งผลงานออกมาไม่ค่อยจะดี ก็ยังไม่บอกอะไรลูกน้องเลย เช่น เวลาเห็นลูกน้องเล่น Facebook

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หาความสุข ในที่ทำงาน

คยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม…"ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย" เคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน  เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดง เพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่าคุณกำลังมีความสุข 
 หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ
วามสุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคล มากพอๆกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการบริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น การฝึกจิต จึงมีวิธีสร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้...
“อย่า” คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อย
อย่าเก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ แม้คุณจะปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ได้ก็ตาม
สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไปสู่เป้าหมาย ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่า
“อย่า” ต่อว่าองค์กร      องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อ

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อคิดสำหรับคนที่คิดเปลี่ยนงาน

<<จากพระมหาสมปอง>>
“ตั้งแต่ทำงานมา ๕ ปี ดิฉันเปลี่ยนงานเปลี่ยนบริษัทมาเกือบ ๑๐ ที่ แล้วค่ะหลวงพี่ ทำอย่างไรดีคะ ถึงจะไม่ต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพราะลำบากเรื่องการปรับตัวเหมือนกันค่ะ กลัวคนอื่นมองว่าหยิบโหย่งไม่มีน้ำอดน้ำทน” 
เดี๋ยวนี้กลายเป็นค่านิยมใหม่ไปแล้วคุณโยม ก่อนหน้านี้มีคำพูดตลกๆ ว่า เปลี่ยนแฟนบ่อยเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เดี๋ยวนี้มีของใหม่ว่า เปลี่ยนงานบ่อยเหมือนเปลี่ยนช่องทีวี โอ้โห... เปลี่ยนบ่อยเปลี่ยนถี่เปลี่ยนไวกันเสียจริงๆ
คุณโยมบางคนที่มาปรึกษาอาตมาว่า เขียนใบสมัครงานไปเยอะมาก ใส่ประวัติการทำงานยาวเหยียด แต่ไม่มีที่ไหนรับทำงานเลย ก็จะรับเข้าไปทำไมล่ะคุณโยม ในประวัติการทำงานเขียนว่า ทำงานบริษัท ก. ๓ เดือน ทำงานบริษัท ข. ๖ เดือน ทำงานบริษัท ค. ๔ เดือน ซึ่งทำมาแล้ว ๑๐ บริษัท แต่พอเอาระยะเวลาในการทำงานมารววมกับยังได้ไม่ถึง ๒ ปีเลยคุณโยมเอ้ย
จริงๆ ปัญหานี้ค่อนข้างลำบากสำหรับอาตามาเหมือนกัน เพราะอาตมายังไม่เคยมีประสบการณ์การเปลี่ยนงานบ่อยๆ ด้วยสิ บวชเรียนมาตั้ง ๑๕ ปี ยังไม่เคยเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลยนอกจากเป็นพระ เต็มที่ก็เคยแต่ย้ายวัด แต่ก็ลองดูนะคุณโยม อาตมาอาจจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย... ลุยเลย
สาเหตุแรกคือ การหนีปัญหา หนีความผิดพลาด เรามันมนุษย์ธรรมดานะคุณโยม ทำงานก็ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าเลือกได้เราก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะมันทำให้รู้สึกวิตกและหวาดกลัวเสมอ ลองสังเกตง่ายๆ ว่าเวลาทำผิดเราจะรู้สึกท้องหวิวๆ เสียวสันหลังวาบๆ ยิ่งถ้าโดนเจ้านายเรียกไปคุยแล้วล่ะก็ หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มโน้น หลายคนก็ไม่ชอบการโดนตำหนิหรือต่อว่า จึงเปลี่ยนงานหนีปัญหา… ดูดู๊ ทิ้งขี้ไว้เห็นๆ

หากเปลี่ยนงานบ่อยเพราะสาเหตุนี้ อาตมาแนะนำให้นำหลักธรรมที่มีชื่อว่า “วิริยะ” ซึ่งเป็นสมาชิกในหลักธรรมใหญ่หลักหนึ่งของพระพุทธศาสนานั่นคือ อิทธิบาท ๔ ที่อ้างไว้แต่เรื่องต้น ๆ อันประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
วิริยะ หมายถึง ความเพียร ความพยายาม ความกล้าที่จะลงมือทำ กล้าเผชิญกับความทุกข์ยาก ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น หากมีอุปสรรคก็เพียรกำจัดปัดเป่าไปให้หมดสิ้นไป โดยไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง เดินหน้าเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
ลองคิดดูว่าถ้าคุณโยมเจอปัญหาแล้วคิดแค่ว่า หนีดีกว่า หลบดีกว่า ไม่คิดที่จะแก้หรือเผชิญหน้ากับความผิดพลาดนั้นเลย คุณโยมก็จะต้องหนี ต้องหลบเช่นนี้ไปตลอดชีวิต และจะไม่สามารถเรียนรู้ที่หาวิธีแก้ความผิดพลาดนั้นได้เลย การเปลี่ยนงานใหม่จึงเป็นการปัดความกลัว ความรำคาญใจไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่การจะแก้ปัญหาอย่างถาวรได้นั้น เราต้องอาศัยความเพียรเป็นที่ตั้ง ดังพุทธพจน์ที่ว่า "คนจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร" มีปัญหาอย่าท้อแท้ หนทางแก้ยังพอมี
สาเหตุที่สองคือ ความคาดหวัคุณโยมหลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน มักจะมีความคาดหวังว่างานที่ทำจะต้องเป็นงานดี เงินเดือนสูงปรี๊ด แต่เมื่องานที่ได้รับกลับตรงกันข้ามกับความคาดหวังนั้น ก็จะเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาความคาดหวังนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่า หากได้งานตามความคาดหวังแล้วจะทำงานนั้นได้ดีหรือไม่
คุณโยมต้องปราบสาเหตุนี้ด้วยความไม่คาดหวัง ไม่ได้หมายความว่าเราจะหวังไม่ได้หรือละความพยายามที่จะทำความหวังนั้นให้เป็นจริง เดี๋ยวพวกแฟนๆ บ้านอะคาเดมี่จะพาลคิดว่าอาตมาไปตัดความฝันของบรรดา “นักล่าฝัน”
ความหมายของอาตมาคือ เราต้องมีความคาดหวังที่ตั้งอยู่บนความจริง ความเป็นไปได้ และถูกต้องทั้งในแง่ของทางโลกและทางธรรม ให้มีความสอดคล้องกัน
หาคุณโยมตั้งความหวังไว้มากและไม่ได้ดั่งหวังก็จะผิดหวังเสียใจมาก แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับมัน สู้คุณโยมพอใจ และรู้จักประมาณกับสิ่งที่ได้รับเสียดีกว่า ทำงานอะไรก็พอใจกับงานนั้น ได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็พอใจกับจำนวนนั้น เรียนรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่คาดหวังทีละนิดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง
สาเหตุที่สามคือ ความเบื่อหน่าย คุณโยมพวกนี้เป็นพวกสมาธิสั้น ชอบความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา พอได้งานนี้ ใหม่ๆ ก็ตื่นเต้น แต่ทำไปทำมากลับเบื่อขึ้นมาเฉยๆ เปลี่ยนไปทำงานอื่น และมักจะใช้ข้ออ้างว่าต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ

วิธีแก้ไขคือ ใส่ความรักลงไปในงาน นั่นคือต้องมีความรักในงานเสียก่อน แม้งานบางอย่างจะน่าเบื่อ ไร้สีสัน แต่ทุกงานก็มักจะมีข้อดี มีข้อได้เปรียบในตัวเอง คุณโยมลองมองหาข้อดีของงานที่ตัวเองทำ แล้วดึงเอาข้อดีนั้นมาใช้ มาบำรุงจิตใจ และเป็นกำลังใจในการทำงาน
อย่างใครทำงานออฟฟิศแล้วรู้สึกเบื่อ วันๆ นั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ ลองคิดถึงข้อดีสิว่า อย่างน้อยคุณโยมได้แต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไปทำงาน ได้นั่งตากแอร์ ในขณะที่อีกหลายหมื่นคน เขาทำงานกลางแดดร้อนๆ กันนะ หรือใครที่ทำงานรับราชการก็อาจจะเบื่อกับระบบงาน แต่ข้อดีคือคุณโยมมีเงินเดือนประจำที่ออกตรงเวลาแน่นอน ในขณะที่คนอื่นๆ อีกหลายแสนเขากำลังใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าเดือนนี้เงินเดือนจะออกไหม บริษัทจะเจ๊งไหม 
และเมื่อไหร่ที่เรายึดเอาข้อดีนั้นเป็นที่ตั้งแล้ว ความรักในงานก็เกิด แม้ข้อเสียจะนับแสนแต่ข้อดีเพียงนิดเดียวก็ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยนะคุณโยม เหมือนคอแห้งอยู่กลางทะเลทราย น้ำเพียงไม่กี่หยดก็ทำให้ชุ่มชื่นและต่อชีวิตได้
เมื่อความเบื่อหน่ายก็จางหายไป ก็หมั่นเพียรฝึกฝนความสามารถให้เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ อาตมาไปบรรยายตามห้างร้านบริษัทต่างๆ มักจะพูดให้คนทำงานฟังเสมอๆ ว่า มนุษย์จะสามารถพัฒนาไปตามที่ตนคิด อย่าดูถูกความคิดของตัวเอง “วิธีการเขียนไว้บนทราย เป้าหมายสลักไว้ในแผ่นหิน” หลักการอาจจะมีเล็กน้อย แต่วิธีการที่เราจะนำไปใช้นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันคุณโยม ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาตัวเองต่อไป ดังบทกลอนที่ว่า “อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล”
"ไม่เกี่ยงงาน ไม่จน ไม่อด" จำสูตรนี้ไว้อีกสูตรนะคุณโยม อยากให้ทุกท่านมีความรักงานในของตัวเองและมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากผลดีจะตกถึงคุณโยมประการหนึ่งแล้ว อีกประการหนึ่งคือ งานสมัยนี้หายาก...เจริญพร

แหล่งที่มา : http://www.dhammadelivery.com

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เหตุผลที่แท้จริงในการลาออกของพนักงาน

การสมัครงาน คัดเลือกเข้าทำงาน และการลาออกของพนักงานนั้น เป็นเรื่องธรรมดาที่วนเวียนในชีวิตขององค์กรหนึ่งๆ ในการบริหารทรัพยากรบุคคลนั้น เราทำตั้งแต่การหาคน คัดเลือกคนที่ดี มีความเหมาะสมกับองค์กร แล้วมาพัฒนาให้เก่งขึ้น จากนั้นก็หาวิธีการที่จะรักษาคนดี คนเก่งไว้ในองค์กร แต่ในทางปฏิบัตินั้น การรักษาพนักงานเป็นสิ่งที่หลายองค์กรทำไม่ค่อยสำเร็จนัก กล่าวคือ หาคนเก่งได้แล้ว พัฒนาเขาแล้ว จากนั้นพนักงานก็ลาออกไปอยู่ที่อื่น ทั้งๆ ที่กำลังทำงานเข้าขากันได้อย่างดี ก็ไปซะแล้ว ทำไมถึงเกิดกรณีแบบนี้ขึ้นมาได้ อะไรเป็นสาเหตุ ลองมาหาคำตอบกัน

มีงานวิจัยของทาง PricewaterhouseCoopers (PwC) ซึ่งได้ทำการสัมภาษณ์เก็บข้อมูลพนักงานที่ลาออกจากองค์กรโดยสมัครใจว่ามีเหตุผลอะไรบ้าง และได้สอบถามจากพนักงานจำนวนถึง 19,000 คน ซึ่งสามารถสรุปสาเหตุที่พนักงานลาออกจากองค์กรได้ดังตารางข้างล่างนี้

จากผลการสำรวจจะเห็นว่าสาเหตุส่วนใหญที่พนักงานอยากลาออกนั้น เป็นสาเหตุที่มาจากเรื่องของค่าจ้างเงินเดือนเพียง 12% เท่านั้น ส่วนที่เหลือเป็นสาเหตุจากเรื่องอื่นๆ ทั้งสิ้น ลองมาดูทีละอันดับกันว่ามีรายละเอียดอย่างไร
  • ขาดโอกาสในการเติบโต นี่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่พนักงานส่วนใหญ่ตอบมา โดยทั่วไป พนักงานเข้าทำงานในองค์กรไปสักระยะหนึ่งแล้ว สิ่งที่เขาต้องการก็คือ การเติบโตในหน้าที่การงาน ไม่ว่าจะเป็นระดับ หรือตำแหน่งงานที่สูงขึ้น ซึ่งองค์กรจะต้องมีการจัดเรื่องของการเติบโตในสายอาชีพให้กับพนักงานได้ด้วย องค์กรที่มีการจัดเรื่องของ Career Path อย่างจริงจัง จะทำให้พนักงานรู้สึกอยากอยู่ทำงานต่อ โดยเฉพาะคนเก่งในองค์กร เมื่อทราบว่าตนเองสามารถจะโตไปไหนได้ ก็จะมีแรงจูงใจในการทำงาน ไม่อยากที่จะไปทีอื่น ในทางตรงกันข้าม ถ้าพนักงานทำงานไปสักพัก แล้วไม่รู้เลยว่าตนเองจะโตไปทางไหนได้บ้างในองค์กร พนักงานกลุ่มนี้ก็จะไปโตที่อื่นนอกองค์กรเรา เราก็จะเสียคนเก่งไปในที่สุด
  • หัวหน้าไม่ดูแลเอาใจใส่ นี่เป็นสาเหตุอันดับที่ 2 ที่พนักงานรู้สึกอยากลาออกจากองค์กร สาเหตุนี้จริงๆ เป็นสาเหตุคลาสสิคมากๆ เพราะงานวิจัยส่วนใหญ่ที่สอบถามเรื่องของสาเหตุการลาออกนั้น มักจะออกมาในเรื่องของหัวหน้าขาดการดูแลเอาใจใส่ลูกน้องเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ เพื่อทราบดังนี้แล้ว เราก็คงต้องหาวิธีการป้องกันปัญหานี้ โดยการฝึกอบรมและพัฒนาหัวหน้างานทุกระดับในองค์กรให้รู้จักที่จะบริหารคน รู้จักที่จะจูงใจคนในทางที่ถูกต้อง แต่พูดไปก็แปลกเหมือนกัน บางองค์กรรู้ดีว่า ที่พนักงานลาออกนั้นมีสาเหตุมาจากหัวหน้างาน และผู้จัดการ แต่กลับไม่มีมาตรการอะไรในการแก้ไขปัญหา ปล่อยให้หัวหน้าบริหารงานบริหารคนแบบเดิมๆ พนักงานก็หาแล้วหาอีก ไม่เคยนิ่งสักที
  • ค่าตอบแทน สาเหตุอันดับที่ 3 เป็นเรื่องของค่าตอบแทน จากผลการสำรวจนั้น ไม่ใช่หมายถึงค่าตอบแทนที่ต่ำเกินไปนะ สาเหตุของค่าตอบแทนที่ทำให้พนักงานรู้สึกว่าไม่อยากทำงานก็มาจาก ความไม่เป็นธรรมในการบริหารค่าตอบแทนมากกว่า บางองค์กรจ่ายค่าตอบแทนสูงมากเมื่อเทียบกับตลาด แต่พนักงานก็ยังอยากลาออก ก็เนื่องจากเขารู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในการจ่ายค่าตอบแทนมากกว่า เช่น การกำหนดอัตราเงินเดือนกำหนดตามใจเถ้าแก่ ชอบก็ให้เยอะ ไม่ชอบก็ให้น้อยเป็นต้น หรือการขึ้นเงินเดือนแทนที่จะเป็นไปตามผลงาน ก็ไปขึ้นตามอายุงานมากกว่า แบบนี้พนักงานเก่งๆ ก็ไม่อยากอยู่ทำงานด้วยอย่างแน่นอนเละทีเดียว
  • งานที่ทำน่าเบื่อไม่มีอะไรท้าทาย สาเหตุอันดับที่ 4 เป็นเรื่องของตัวงานเอง กล่าวคือ ทำงานไปเรื่อยๆ พอนานวันเข้าก็เริ่มรู้ว่างานนั้นจะต้องทำอะไร ปัญหาเหล่านี้จะแก้ไขอย่างไร เรียกได้ว่ารู้ตื้นลึกหนาบางของงานหมดทุกด้านแล้ว พนักงานก็จะเริ่มรู้สึกเบื่อ เหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่ต้องทำซ้ำๆ ในแต่ละวัน ยิ่งไปกว่านั้นถ้าองค์กรไม่มีระบบการหมุนเวียนงานที่ดี ก็จะยิ่งทำให้พนักงานเบื่อเข้าไปอีก สุดท้ายก็ต้องไปหาความท้าทายที่อื่น ดังนั้นการแก้ไขปัญหานี้ก็คือการสร้างระบบการหมุนเวียนเปลี่ยนงานภายในองค์กรขึ้น เพื่อทำให้พนักงานมีทักษะที่สูงขึ้น กว้างขึ้น และยังทำให้พนักงานรู้สึกถึงความท้าทายงานมากขึ้นด้วย
  • สาเหตุที่เหลือ จะเป็นสาเหตุที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับหัวหน้างานเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่า ในเรื่องของหัวหน้าขาดภาวะผู้นำ ขาดความสัมพันธ์ที่ดีกับหัวหน้า มีความขัดแย้งกับหัวหน้าโดยตรง หัวหน้ามีความลำเอียง และไม่เคยที่จะใส่ใจในผลงานและความทุ่มเทของพนักงานเลย สาเหตุที่เหลือเหล่านี้ สามารถจัดเข้ากลุ่มในข้อ 2 ได้ ก็คือ หัวหน้างานไม่เอาใจใส่พนักงานนั่นเอง
เมื่อทราบสาเหตุหลักๆ กันแบบนี้แล้ว ชาว HR ทั้งหลายก็น่าจะพอหาแนวทางในการป้องกันคนเก่งไหลออกจากองค์กรกันได้นะค่ะ เพราะนอกจากระบบค่าตอบแทนจะต้องเป็นธรรมแล้ว สิ่งที่สำคัญมากกว่าก็คือ เรื่องของความรู้สึกภาคภูมิใจในผลงานของพนักงาน ที่องค์กรจะต้องสร้างระบบเหล่านี้ เพื่อดึงดูดและรักษาคนเก่งไว้ให้ได้

นี่เป็นอีกข้อพิสูจน์ว่า ในอนาคตการให้รางวัลที่ไม่ใช่ตัวเงินจะทวีความสำคัญมากขึ้นสำหรับการดึงดูด และรักษาคนเก่งในองค์กร
แหล่งที่มา : http://prakal.wordpress.com
ภาพประกอบ : จากอินเตอร์เน็ต


วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การเป็นพนักงานที่ดี ต้องทำอย่างไร (ข้อคิดของลูกน้อง)

องค์กรส่วนใหญ่มักจะอบรมแต่เฉพาะพนักงานระดับบังคับบัญชาในเรื่องเกี่ยวกับการเป็นหัวหน้างานที่ดี หรือการเป็นผู้จัดการที่ดี แต่ไม่ค่อยมีองค์กรใดที่พยายามจะให้ความรู้ และอบรมพนักงานให้เป็นพนักงานที่ดีสักเท่าไหร่ กล่าวคือ คนที่เป็นพนักงานเมื่อเข้ามาทำงานแล้ว ก็ผ่านแค่การอบรมปฐมนิเทศน์ เท่านั้น แล้วก็มักจะเกิดคำบ่นจากบรรดาหัวหน้าทั้งหลายเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกน้องตนเองว่า ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไหร่ (ทางฝ่ายลูกน้องก็บ่นถึงลูกพี่เช่นกัน)
ดังนั้นการที่เรารับพนักงานเข้ามาทำงานในองค์กรของเรา สิ่งที่องค์กรควรจะทำก็คือ การให้ความรู้และพัฒนาพนักงานให้เขาทราบถึงวิธีการเป็นพนักงานที่ดี และทำอย่างไรที่จะสามารถทำให้ตนเองเป็นพนักงานที่ดีในสายตาของหัวหน้าและองค์กร ไม่ใช่ปล่อยเขาไปตามยถากรรม
โดยทั่วไปพนักงานที่ดี และเป็นที่ชื่นชอบของเหล่าบรรดาหัวหน้าก็มักจะมีคุณสมบัติอะไรบ้าง ได้สอบถามจากเหล่าบรรดาหัวหน้างานทั้งหลายจนสรุปได้คำตอบดังนี้
  • มีความรับผิดชอบ ข้อนี้ความหมายก็คือ เวลาได้รับมอบหมายงานไปแล้ว ไม่ทิ้งงาน ไม่ปล่อยปละละเลยงาน ทำงานให้สำเร็จตามแผนงานที่กำหนดไว้ และรู้ว่างานนี้คือความรับผิดชอบของตนเองที่จะต้องทำให้สำเร็จ โดยไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าไปจ้ำจี้จ้ำไชอยู่ตลอดเวลา
  • มีความทุ่มเทให้กับงาน ข้อนี้จะคล้ายๆ กับเรื่องของความรับผิดชอบ เพียงแต่เน้นไปที่เรื่องของความตั้งใจในการทำงาน ความมุ่งมั่นว่าจะต้องทำงานนั้นให้สำเร็จให้ได้ ไม่ใช่วันๆ เอาแต่ทำอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวกับงานในเวลางาน ส่วนงานก็ไม่ยอมทำ จะมาทำเอาใกล้ๆ กำหนดส่ง สิ่งที่หัวหน้าไม่ค่อยชอบก็คือ การที่พนักงานใช้เวลาในการทำงานนั่งเล่น Facebook นั่ง chat หรือ เข้าสู่ Social Network ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงการขาดวุฒิภาวะในการทำงาน ขาดความรับผิดชอบ และความทุ่มเทให้กับการทำงาน
  • เชื่อฟังหัวหน้ข้อนี้หัวหน้าเกือบทุกคนตอบเหมือนกันเลย ก็คือ ต้องการพนักงานที่เชื่อฟัง คำว่าเชื่อฟังนี้ไม่ใช่การไม่โต้แย้ง หรือไม่เถียง แต่เป็นความเข้าใจซึ่งกันและกันมากกว่า ว่าที่หัวหน้าพูดแบบนี้ หรือทำแบบนี้นั้นมีวัตถุประสงค์อย่างไร ทำไมหัวหน้าต้องสั่งแบบนั้น ทำไมต้องพูดแบบนี้ หัวหน้าเองก็คาดหวังให้พนักงานเข้าใจเขาด้วยเช่นกัน
  • แก้ไขปัญหาในการทำงานได้ด้วยตนเอง สิ่งที่หัวหน้ามักจะคาดหวังจากลูกน้องก็คือ ลูกน้องจะต้องสามารถแก้ไขปัญหาในการทำงานของตนเองได้บ้าง ไม่ใช่ต้องให้หัวหน้าเป็นคนแก้ไขซะทุกเรื่อง แบบนี้หัวหน้าก็บอกว่า ไม่ต้องจ้างมาก็ได้ เพราะจ้างมาแล้วไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ แล้วต้องย้อนกลับมาให้หัวหน้าแก้ไขให้นั้น ก็ไม่มีประโยชน์ที่จะจ้างพนักงานคนนี้เข้ามาเลย
  • ปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ ข้อนี้เป็นอีกข้อที่หัวหน้าส่วนใหญ่ต้องการ ก็คือ พนักงานต้องไม่ฝ่าฝืน หรือแหกกฎของบริษัท เวลาทำงานก็ให้ปฏิบัติงานตามกฎระเบียบข้อบังคับของบริษัท เนื่องจากหัวหน้าไม่ต้องการที่จะมานั่งเสียเวลาในเรื่องพวกนี้ และหัวหน้าก็คาดหวังว่า พนักงานทุกคนน่าจะเข้าใจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เขียนไว้ เพราะสิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้เกิดความเป็นระเบียบในสังคมการทำงาน
นี่คือ 5 ความต้องการหลักของคนที่เป็นหัวหน้าที่อยากให้ลูกน้องเป็นอย่างไรบ้าง ตามที่ได้เก็บรวบรวมข้อมูลมา ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นลูกน้องที่ดี และอยากเป็นพนักงานที่ดีในสายตาของหัวหน้า และองค์กร อย่างน้อยๆ 5 ข้อข้างต้นก็น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่พนักงานทุกคนจะต้องระลึกไว้เสมอ
นอกจาก 5 ข้อนี้ที่จะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง และได้มาตรฐาน นอกนั้นก็คงเป็นเรื่องของผลงานที่ออกมาตามตัวชี้วัดผลงานของแต่ละตำแหน่งงาน และในบางองค์กรอาจจะมีการกำหนด Competency ของพนักงานไว้ว่าจะต้องมีอะไรเพิ่มเติมบ้าง ก็ให้ใช้จุดนั้นเพิ่มเติม
เท่าที่มีการวิเคราะห์อย่างจริงจังจากคำตอบที่ได้มา 5 ข้อนั้น คิดว่า ถ้าหัวหน้ามีลูกน้องที่สามารถเป็นแบบ 5 ข้อข้างต้นได้ หัวหน้าก็คงจะสบายใจขึ้น และคงทำงานร่วมกับลูกน้องแต่ละคนได้ดีทีเดียว โดยไม่ต้องมานั่งปวดหัวกับพฤติกรรมอันไม่เหมาะสมของลูกน้องแต่ละคน
แต่ว่า เรื่องพวกนี้มันอยู่ที่มุมมองของแต่ละฝ่ายด้วย ฝ่ายหัวหน้าเองก็นั่งอยู่อีกมุมหนึ่ง ซึ่งบางครั้งก็เริ่มมองไม่เห็นมุมมองของพนักงานทั้งๆ ที่ตนเองก็เคยเป็นพนักงานมาก่อน ตัวลูกน้องเองก็ไม่ค่อยมองในมุมของคนที่เป็นหัวหน้าเลยก็มี ว่าทำไมหัวหน้าถึงต้องทำอะไรแบบนั้น
ถ้าทั้งสองฝ่ายพยายามทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน และหันหน้าเข้าหากัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน เข้าใจความคาดหวังของแต่ละฝ่ายเป็นอย่างดี คิดว่าปัญหาระหว่างหัวหน้ากับลูกน้องก็ไม่น่าเกิดขึ้น เมื่อไม่เกิดปัญหาระหว่างกันขึ้น ผลงานของทีมก็จะออกมาดีกว่า ทีมงานที่มีปัญหาระหว่างกันข้างใน คุณว่าจริงมั้ย....
ขอขอบคุณบทความดีๆจาก : http://prakal.wordpress.com

วันพุธที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เคล็ดลับการเป็นหัวหน้าที่ดี


เหล่าบรรดาหัวหน้างาน ผู้จัดการ หรือจะเรียกชื่อตำแหน่งอะไรก็แล้วแต่ สิ่งหนึ่งที่กลุ่มคนเหล่านี้จะขาดไม่ได้เลยก็คือ เขาต้องทำงานผ่านคนอื่น คนอื่นในที่นี้ก็คือ “ลูกน้องของตนเอง” การที่หัวหน้าคนหนึ่งจะทำงานผ่านคนที่เป็นลูกน้องได้ดีนั้น ไม่ใช่แค่เพียงการวางแผนงาน และเข้ามาควบคุมดูแลให้งานสำเร็จตามเป้าหมายเท่านั้น หัวหน้างานยังต้องทำหน้าที่ในการบริหารคน หรือบริหารความรู้สึกของคนในทีมงานอีกด้วย

มีหลายคนถามมาว่า มีสูตรสำเร็จหรือไม่ในการที่จะบริหารคนในทีมงานให้เกิดความรู้สึกที่ดีในการทำงาน และเกิดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน รวมทั้งมีแรงจูงใจในการทำงาน สูตรที่ว่านั้นมีให้เห็นกันอยู่ทั่วไปมากมาย เพียงแต่มันติดตรงที่ รู้แล้วว่าเคล็ดลับคืออะไร แต่ไม่ค่อยมีหัวหน้างานคนไหนจะนำไปใส่ใจทำตามน่ะสิครับ ผลก็คือ หัวหน้างานไม่สามารถบริหารคนในทีมงานได้เลย คนเอาคนไม่อยู่  สิ่งที่ตามมาก็คือ งานก็เริ่มหลุดแผน ผลสุดท้ายก็คือผลงานหัวหน้างานก็เริ่มแย่ลงไปด้วย ผลงานองค์กรก็ไปไม่ถึงเป้าที่ต้องการอีก
จากประสบการณ์ที่ได้พูดคุยกับเหล่าหัวหน้างาน และผู้จัดการมือดี เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการบริหารคนของเขา ก็พบว่า มันมีเคล็ดลับอยู่ไม่กี่ตัวเท่านั้น ก็เลยเอามาเล่าให้อ่านกัน เผื่อจะได้นำเอาไปใช้ในการทำงานได้
  • เอาใจเขามาใส่ใจเรา สิ่งที่ผู้จัดการที่ดีบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ถ้าหัวหน้างานอยากจะบริหารลูกน้องได้ดีนั้น ต้อง “เอาใจลูกน้องมาใส่ใจเรา” เราต้องเข้าใจเขาว่า เขากำลังคิดอะไร รู้สึกอย่างไร ลองดูว่าถ้าเป็นเราโดนเข้าแบบนั้นเราจะรู้สึกอย่างไร ลูกน้องเราเองก็เช่นเดียวกัน เช่น หัวหน้างานบางคนมักจะโวยวาย ตีโพยตีพาย และด่ากราดลูกน้องที่ทำงานไม่ได้ดั่งใจต่อหน้าลูกน้องคนอื่นๆ  เพื่อความสะใจของเขา ลองถามตัวเองดูว่า ถ้าเป็นเรา เราชอบมั้ยที่โดนหัวหน้าของเราด่ากราดแบบนั้นต่อหน้าคนอื่น ขอให้ตอบอย่างจริงใจนะ (มั่นใจเลยว่า ไม่มีใครชอบหรอกแน่นอน แต่ก็แปลกที่เรากลับชอบทำกับลูกน้องของเรา เหมือนกับว่าเราไม่รู้สึกอะไรเลยถ้าโดนแบบนั้นเข้าเหมือนกัน)
  • ให้เกียรติ และให้การยอมรับ หัวหน้างานที่ดีต่างก็ยอมรับว่า การให้เกียรติลูกน้องของเรา และการให้กายอมรับลูกน้องของเรานั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ที่จะทำให้เขาเกิดแรงจูงใจในการทำงานกับเรา การให้เกียรติก็คือ เรื่องอะไรที่เป็นเรื่องส่วนตัวของเขา เราก็ไม่ควรเอามาพูดในที่สาธารณะ การพูดจาที่สุภาพ การปฏิบัติต่อลูกน้องเหมือนเขาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา ให้การยอมรับเขาในฐานะทีมงาน สิ่งเหล่านี้ต้องเริ่มจากหัวหน้าก่อนทั้งสิ้น ทักทาย พูดคุย ถามทุกข์สุข ฯลฯ ลูกน้องเองก็จะรู้สึกว่า หัวหน้าให้การยอมรับเขา แรงจูงใจในการทำงานก็จะเกิดขึ้นได้ไม่ยาก
  • ให้ความจริงใจ มีใครบ้างที่ไม่ชอบคนจริงใจกับเรา ลูกน้องเองก็เช่นกันครับ เขาเองก็ชอบหัวหน้างานที่จริงใจ ไม่มีอะไรลับหลังเขา ไม่ว่าจะเป็นการนินทาลูกน้องตัวเองให้หัวหน้างานคนอื่นฟัง การปฏิบัติต่อลูกน้องแบบต่อหน้าอย่างหนึ่ง ลับหลังอย่างหนึ่ง หรือพอลูกน้องทำงานได้ดี ก็ไม่มีคำชม หรือบางทีก็ชมแบบขอไปที ถามท่านที่เป็นหัวหน้าเองก็ได้ครับ ชอบมั้ยครับถ้าเจอหัวหน้างานแบบนี้บ้าง
  • ให้ความเป็นธรรม ปกติถ้าหัวหน้างานมีลูกน้องมากว่า 1 คน สิ่งที่หัวหน้างานจะต้องระวังก็คือ เรื่องของการปฏิบัติตนไม่เป็นธรรม เราเองอาจจะรู้สึกว่าเป็นธรรม แต่ลูกน้องกลับมองว่าไม่เป็นธรรม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่กระทบกับความรู้สึกของลูกน้องได้ง่ายมาก ในการทำตัวของหัวหน้านั้น จะต้องคิดให้ดี ถ้าเราทำแบบนี้กับคนนี้แล้ว ถ้าเกิดกรณีแบบเดียวกันกับคนอื่น เราจะทำแบบนี้หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ ก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและเป็นธรรม แต่ถ้าคำตอบคือ “ถ้าเป็นลูกน้องคนนี้ฉันจะไม่มีทางทำแบบนี้เด็ดขาด” นั่นแสดงว่าท่านเองก็มีการเลือกปฏิบัติต่อลูกน้องตนเองแล้วล่ะ
  • รับฟังอย่างเข้าใจ ทักษะเรื่องของการฟังนี้จะว่าง่ายก็ง่าย หรือจะว่ายาก มันก็ยากนะครับ การฟังที่ดีก็คือฟังแล้วต้องไม่สรุปเอาเอง หรือเอาประสบการณ์ของเราเข้าไปตัดสินคนอื่น ต้องฟังอย่างเป็นกลาง และฟังอย่างเข้าใจลูกน้องของตน ว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น หัวหน้าส่วนใหญ่ชอบพูดมากกว่าฟังอยู่แล้ว เพราะมองว่าตนเองเป็นหัวหน้าต้องเก่งกว่า ต้องพูดมากกว่า มิฉะนั้นแล้วจะสู้ลูกน้องไม่ได้ แต่ผมว่าฟังให้เยอะไว้จะดีกว่า เพราะเราจะกลายเป็นหัวหน้าที่เข้าใจลูกน้องได้ดีกว่าหัวหน้าที่พูดอย่างเดียว ห้าข้อดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่หัวหน้างานส่วนใหญ่บอกไว้เลยว่า นี่คือเคล็ดลับของการเป็นหัวหน้างานที่ดี 
จะสังเกตเห็นว่าไม่ต้องไปเรียนเทคนิคอะไรมากมายเลย แค่เพียงเราตั้งใจที่จะเป็นหัวหน้างานที่ดี และทำตามเคล็ดลับที่กล่าวมา โดยส่วนตัวเรา ถามตัวเองว่าถ้าหัวหน้าเราเป็นแบบ 5 ข้อนี้เราจะรู้สึกอย่างไร คำตอบที่ออกมาโดยไม่ลังเลเลยก็คือ เราจะรู้สึกดีมากๆ ดังนั้นถ้าเราปฏิบัติตนแบบนี้กับลูกน้องของเรา ลูกน้องเราก็ย่อมจะรู้สึกดี และมีกำลังใจในการทำงาน รวมทั้งเกิดแรงจูงใจในการสร้างผลงานให้ดีขึ้นได้อีกมากมายเลยทีเดียว

หัวหน้าบางคนรู้ทฤษฎีในการบริหารคนมากมาย แต่ไม่สามารถอยู่ในใจของลูกน้องได้เลย นั่นก็คือ ไม่เคยนำสิ่งที่รู้มานั้นไปปฏิบัติจริง

ขอขอบคุณ :http://prakal.wordpress.com
ภาพประกอบ : จากอินเตอร์เน็ต


วันศุกร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ธรรมะกับชีวิตประจำวันเรื่องการเลือกคู่ครอง


สำหรับคนโสด  ก็มักจะมีคำถามว่า "คนที่ ใช่  เมื่อไรจะเจอสักที"  ฝ่ายชายก็เฝ้ารอคอย "นางในดวงใจ"  ฝ่ายหญิงก็เฝ้ารอคอย "ชายในฝัน"  ที่เจอๆมาแล้ว ผ่านไปแล้ว ก็ยังไม่ใช่ คนที่ "ใช่" สักที  ใครหนอคือคนที่ใช่ของเรา

บางคนก็เชื่อเรื่องบุพเพสันนิวาส  ว่าคู่แล้วไม่แคล้วกัน ยังไงๆคงต้องได้เจอสักวันจนได้ บางคนก็เชื่อเรื่องพรหมลิขิต  ยังไงเสีย ต้องดลใจให้เนื้อคู่ของเรา มาพบมาเจอเราจนได้

อันที่จริงแล้ว ทุกอย่างนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจเลือกของเราเองต่างหาก  บางทีบุพเพสันนิวาสก็ทำให้เราได้พบได้เจอคนที่เรารู้สึกถูกชะตา  ถูกอัธยาศัย  แต่ถ้าเราไม่สานสัมพันธ์ต่อให้ดีๆ  เขาหรือเธอก็อาจจะไปใกล้ชิดสนิทสนมกับคนอื่น และตกร่องปล่องชิ้น แต่งงานแต่งการกับเขาหรือเธอไปเสียก่อน  เราก็ต้องรับประทาน "แห้ว" ไปตามระเบียบ
บางทีพรหมลิขิตก็ทำงานหนักแล้ว  ดลใจให้เขาหรือเธอมาพบกับเราแล้ว แต่ด้วยค่านิยมที่ผิดๆ ด้วยความเขิน  ด้วยความเหนียมอาย  จนกลายเป็นเล่นตัว  คนที่เขามาทีหลัง เขากล้าหาญชาญชัยกว่าเรา เขาก็คว้าเอาไปครอบครองเสียก่อน แล้วเราก็ต้องรับประทาน "แห้ว" อีกวาระหนึ่ง
จากคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น  ทำให้เรารู้ว่า  คนทุกคนที่มีความสัมพันธ์กับเราทุกวันนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  ต่างก็เคยได้มีความสัมพันธ์กับเรามาแล้วทั้งนั้นในอดีตชาติ   คนที่เคยมีความสัมพันธ์ในทางที่ดีต่อเรามาก่อน   เมื่อได้มาพบกันอีกในชาตินี้  จะทำให้รู้สึกถูกชะตา  ถูกอัธยาศัยกัน  ชอบพอกัน แต่ความสัมพันธ์ในอดีตชาตินั้น  ก็ยังไม่มีอิทธิพลหรือมีความสำคัญต่อเรามากเท่ากับความสัมพันธ์ในปัจจุบัน   เราจึงควรพิจารณาเรื่องความสัมพันธ์ในปัจจุบันนี้ให้มากว่า หากต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแล้ว  เขาหรือเธอ จะเข้ากับเราได้ดีไหม  ไปกันได้ดีไหม  ยอมรับและเข้าใจกันได้ไหม และจะทำให้มีความสุขที่อยู่ด้วยกันหรือไม่
หลักธรรมในการเลือกคู่ครอง คือ สมชีวิธรรม 4 เราควรเลือกคู่ครองที่มีลักษณะดังนี้
สมชีวิธรรม 4 (qualities which make a couple well matched)
เป็นธรรมที่จะทำให้คู่สมรส ครองรักกันได้ราบรื่น กลมกลืน และยาวนาน ได้แก่
       1. สมสัทธา (to be matched in faith)
คือ มีศรัทธาสมกัน  มีความเชื่อในสิ่งเดียวกัน มีทัศนคติในการมองโลก มองชีวิต ไปในทางเดียวกัน  ก็จะทำให้เข้าใจกันง่าย  ไม่มีความขัดแย้งกัน
       2. สมสีลา (to be matched in moral)
คือ มีศีลสมกัน  ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ต้องมีหลักในการประพฤติปฏิบัติตนเรื่องผิดชอบชั่วดีเหมือนๆกัน  เช่น ถ้าคนหนึ่งไม่ชอบการโกหก  อีกคนหนึ่งต้องไม่ชอบการโกหกด้วย  ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมักโกหกเป็นนิสัย  อีกฝ่ายหนึ่งย่อมเกิดความไม่ไว้วางใจ และอยู่ด้วยกันอย่างไม่มีความสุข   หรือถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ชอบเล่นการพนัน  แต่อีกฝ่ายชอบมัวเมากับการพนัน  ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง เพราะจะมีแต่ความขัดแย้ง  อยู่ด้วยกันไปก็ไม่มีความสุข
       3. สมจาคา (to be matched in generosity)
คือ มีจาคะสมกัน   มีใจเมตตากรุณา โอบอ้อมอารี เหมือนๆกัน ชอบเกื้อกูลสนับสนุนญาติพี่น้อง และคนที่ตกทุกข์ได้ยาก  ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนตระหนี่ ก็ย่อมเกิดความไม่พอใจทุกครั้งที่อีกฝ่ายหนึ่งช่วยเหลือแบ่งปันแก่ผู้อื่น  หากอยู่ร่วมกันไป ชีวิตย่อมจะมีแต่ความขัดแย้ง  ไม่มีความสงบราบรื่น
       4. สมปัญญา (to be matched in wisdom)
คือ มีปัญญาสมกัน   ทั้งชายและหญิง ต้องมีระดับสติปัญญาใกล้เคียงกัน  มีความเฉลียวฉลาด พอๆกัน  ความคิดความอ่านต้องไปกันได้  มีการใช้วิจารณญาณในการมองปัญหา แก้ปัญหา และตัดสินใจ ไปในทิศทางเดียวกัน เช่น ถ้าฝ่ายหนึ่งชอบใช้เหตุผลในการพิจารณาแก้ปัญหา  แต่อีกฝ่ายหนึ่งชอบใช้อารมณ์ ก็ไม่ควรจะเลือกมาเป็นคู่ครอง  เพราะชีวิตสมรส จะมีแต่การทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เข้าใจกันได้  คนที่มีอะไรคล้ายๆกัน  ย่อมเข้าใจกันได้ดีกว่า    หรือถ้าฝ่ายหนึ่งฉลาดและเข้าใจอะไรได้ง่ายๆ  อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนสมองทึบ เข้าใจอะไรได้ช้า   การอยู่ด้วยกันทุกวัน จะทำให้เกิดความไม่กลมกลืนกัน   ไม่สมดุลย์กัน คุยกันไม่รู้เรื่อง  มีแต่ความอึดอัดรำคาญใจ   ก็ไม่ควรเลือกมาเป็นคู่ครอง
คู่ครองตามที่่กล่าวไว้ใน สิทธิการิยะฯ มี 4 แบบ คือ 
1. คู่เวรคู่กรรม
ได้แก่คู่สามีภรรยาที่อยู่ด้วยกันแล้วทะเลาะเบาะแว้ง บางคู่ถึงขั้นตบตีกันแต่ก็ไม่เลิกรากันไป ยังคงใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน  แต่มักมีเรื่องบาดหมางขัดใจกัน ทะเลาะกันอยู่เป็นประจำ   ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจไม่ซื่อสัตย์   อาจสุรุ่ยสุร่าย ล้างผลาญเงินทอง อาจดูถูกดูหมิ่นอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ยกย่องให้เกียรติ ไม่มีความเคารพเกรงใจกัน แม้การใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไม่มีความสุข  แต่ก็ยังต้องอยู่ด้วยกันต่อไป
2. คู่ทุกข์คู่ยาก
ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่ลำบากลำบนมาด้วยกัน  ฟันฝ่าอุปสรรคของชีวิตมาด้วยกัน แต่ก็รักและเห็นอกเห็นใจกันเสมอ
3. คู่สร้างคู่สม
ได้แก่ คู่สามีภรรยาที่อยู่ร่วมกัน  ชีวิตมีแต่ความสุข  มีโชคดี ไม่มีปัญหาและอุปสรรคใดๆ  รักและให้เกียรติยกย่องกันและกัน   มีความสุขอยู่ด้วยกันจนวันตาย
4. คู่อาศัย
ได้แก่คู่รัก หรือคู่สามีภรรยา ที่รักกันได้ไม่นาน  ก็มีอันต้องเลิกรากันไป
ถ้าคู่สมรสคู่ใด ที่ครองรักกันอย่างมีความสุขในชีวิตนี้  และมี ศรัทธา  ศีล จาคะ ปัญญา สมกัน   แม้ตายจากกันไปแล้ว  ชาติต่อไปก็ย่อมได้เกิดมาเป็นคู่ครองกันอีก เรียกว่า คู่แล้วไม่แคล้วกัน
จาก อังคุตตรนิกาย  มีพระสูตรที่ 2  ปฐมสังวาสสูตร และทุติยสังวาสสูตร แห่งปุญญาภิสันทวรรค ทุติย- ปัณณาสก์ จตุกกนิบาต  ที่่ว่าด้วยการอยู่ร่วมกันระหว่างสามีภรรยามี 4 แบบ   โดยเปรียบเทียบว่า คนทุศีล
เป็นเสมือนผี คนมีศีลเป็นเสมือนเทวดา ดังนี้
1. การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับผี
หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล   ต่างฝ่ายต่างชั่วพอๆกัน บางคู่อาจเข้าใจกันดี ไปกันได้ดี อยู่ด้วยกันได้อย่างกลมกลืน บางคู่อาจเป็นแบบ ขิงก็รา ข่าก็แรง
2. การอยู่ร่วมกันแบบผีอยู่ร่วมกับเทวดา
หมายถึงสามีทุศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล  สามีเลวแต่อยู่ร่วมกับภรรยาที่ดี ฝ่ายสามีจะเป็นฝ่ายที่เอาเปรียบภรรยา ปฏิบัติต่อภรรยาไม่ดี  การอยู่ด้วยกัน ไม่ทำให้มีความสุข
3. การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับผี
หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยาทุศีล  สามีดีอยู่ร่วมกับภรรยาที่เลว  ฝ่ายภรรยาเป็นภาระของสามี  เอารัดเอาเปรียบสามี ปฏิบัติต่อสามีไม่ดี  อาจไม่ซื่อสัตย์ นอกใจ หรือ ล้างผลาญสมบัติ  การอยู่ด้วยกัน ย่อมไม่มีความกลมกลืน เข้ากันไม่ได้ดี

4. การอยู่ร่วมกันแบบเทวดาอยู่ร่วมกับเทวดา
หมายถึงสามีมีศีลอยู่ร่วมกับภรรยามีศีล ต่างฝ่ายต่างดีพอๆกัน  รักใคร่ปรองดองกัน ถนอมน้ำใจกัน ยกย่องให้เกียรติกันและกัน สามีภรรยาแบบนี้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขตลอดไป
พระพุทธเจ้า ได้จำแนกภรรยาไว้ 7 แบบ ดังนี้  ถ้าท่านต้องการภรรยาแบบไหน ย่อมเลือกลักษณะหญิงที่ท่านจะเลือกมาเป็นคู่ครองได้ตามลักษณะดังกล่าวนี้ คือ
ภรรยา 7 (seven types of wives)
ภรรยาแบบต่างๆ ซึ่งจำแนกโดยคุณธรรม ความประพฤติลักษณะนิสัย และการปฏิบัติต่อสามี ดังนี้


       1. วธกาภริยา (a wife like a slayer; destructive wife)
ภรรยาเยี่ยงเพชฌฆาต
ได้แก่ ภรรยาที่คิดร้ายกับสามี   เป็นผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงิน  เห็นแก่เงิน ไม่ได้อยู่กินกับสามีด้วยความรัก มักเจ้าชู้ มีใจยินดีในชายอื่น ดูหมิ่นไม่ยกย่องให้เกียรติ ไม่เคารพสามี
       2. โจรีภริยา (a wife like a robber; thievish wife)
ภรรยาเยี่ยงโจร
ได้แก่ ภรรยาผู้ล้างผลาญทรัพย์สมบัติ  ใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย  ไม่รู้จักประหยัด  อาจติดการพนัน  หรือชอบความหรูหราฟุ่มเฟือย  ใช้เงินเกินตัว ไม่รู้จักประมาณตน
       3. อัยยาภริยา (a wife like a mistress; Madam High and Mighty)
ภรรยาเยี่ยงนาย
ได้แก่ ภรรยาที่เกียจคร้าน ไม่ใส่ใจการงาน กินมาก ปากร้าย หยาบคาย ใจเหี้ยม ชอบข่มสามี
       4. มาตาภริยา (a wife like a mother; motherly wife)
ภรรยาเยี่ยงมารดา
ได้แก่ ภรรยาที่หวังดีเสมอ คอยห่วงใยเอาใจใส่สามี เหมือนมารดาปกป้องบุตร และประหยัดรักษาทรัพย์ที่หามาได้
  5. ภคินีภริยา (a wife like a sister; sisterly wife)
ภรรยาเยี่ยงน้องสาว
ได้แก่ ภรรยาผู้เคารพรักสามี ดังน้องรักพี่ มีใจอ่อนโยน รู้จักเกรงใจและคล้อยตามสามี
       6. สขีภริยา (a wife like a companion; friendly wife)
ภรรยาเยี่ยงสหาย
ได้แก่ ภรรยาที่เป็นเหมือนเพื่อน พบสามีเมื่อใด ก็ปลาบปลื้มดีใจเหมือนเพื่อนพบเพื่อนที่จากไปนาน เป็นผู้มีการศึกษาอบรม มีกิริยามารยาท ความประพฤติดี ภักดีต่อสามี  เป็นคู่คิดคู่ครอง  เคียงบ่าเคียงไหล่สามี
       7. ทาสีภริยา (a wife like a handmaid; slavish wife)
ภรรยาเยี่ยงทาสี
ได้แก่ ภรรยาที่ยอมอยู่ในอำนาจสามี ถูกขู่ตะคอกเฆี่ยนตี ก็อดทนไม่โกรธตอบ รักสามีมาก ยอมรับใช้และทำทุกอย่างเพื่อความสุขของสามี
       พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ภรรยาสำรวจตนเองว่า ตนเป็นภรรยาประเภทไหน และจะให้ดีควรจะเป็นภรรยาประเภทใด
สำหรับชาย อาจใช้เป็นหลักสำรวจอุปนิสัยของตนว่าเหมาะแก่หญิงประเภทใดที่จะเลือกมาไว้เป็นคู่ครอง และสำรวจหญิงที่จะเป็นคู่ครองว่าเหมาะกับอุปนิสัยของตนหรือไม่  (สำหรับผู้เขียนเอง ขอเลือกภรรยาในแบบที่ 6  คือ ภรรยาเยี่ยงสหาย)
การปฏิบัติต่อสามีหรือภรรยา  มีกล่าวไว้ใน  ทิศ 6 (directions; quarters)
บุคคลประเภทต่างๆ ที่เราต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ทางสังคม ดุจทิศที่อยู่รอบตัว
ภรรยานั้น ถือเป็นทิศที่ 3 ปัจฉิมทิศ (ทิศตะวันตก)
ปัจฉิมทิศ (wife and children as the west or the direction behind)
ทิศเบื้องหลัง ทิศตะวันตก ได้แก่ บุตรภรรยา เพราะติดตามเป็นกำลังสนับสนุนอยู่ข้างหลัง
  ก. สามีบำรุงภรรยา ผู้เป็นทิศเบื้องหลัง ดังนี้
           1) ยกย่องให้เกียรติสมกับฐานะที่เป็นภรรยา
           2) ไม่ดูหมิ่น
           3) ไม่นอกใจ
           4) มอบความเป็นใหญ่ในงานบ้านให้
           5) หาเครื่องประดับมาให้เป็นของขวัญตามโอกาส
       ข. ภรรยาย่อมอนุเคราะห์สามี ดังนี้
           1) จัดงานบ้านให้เรียบร้อย
           2) สงเคราะห์ญาติมิตรทั้งสองฝ่ายด้วยดี
           3) ไม่นอกใจ
           4) รักษาทรัพย์สมบัติที่หามาได้
           5) ขยันไม่เกียจคร้านในงานทั้งปวง
ขอให้ท่านผู้อ่านทุกท่าน  ได้เลือกคนที่มี ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา สมกันกับท่านมาเป็นคู่ครอง  และเป็นคู่สร้างคู่สมที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันด้วยความรัก มีความสุขด้วยกันตลอดไป