หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

หาความสุข ในที่ทำงาน

คยรู้สึกเช่นนี้บ้างไหม…"ตื่นเช้ามาไม่อยากไปทำงาน รู้สึกหดหู่ เบื่อหน่าย" เคยรู้สึกไหมว่า แต่ละวันในการทำงานมันช่างผ่านไปช้าเสียเหลือเกิน  เคยมีพฤติกรรมเช่นนี้บ้างไหม คือชอบหาโอกาสลางาน หรือหลีกเลี่ยงงานอยู่เสมอทั้งหมดนี้เป็นคำถาม หรืออาการแสดง เพื่อให้คุณเริ่มสำรวจตัวเองว่าคุณกำลังมีความสุข 
 หรือมีความทุกข์กับการทำงานของคุณ
วามสุขของคนเราขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบ ไม่ว่าจะเป็นสภาพสังคม สภาพแวดล้อม เศรษฐกิจ และอื่นๆ อีกมากมาย ความจริงข้อหนึ่งของความสุขก็คือ ความสุขขึ้นอยู่กับปัจจัยภายในของบุคคล มากพอๆกับปัจจัยภายนอกที่มากระทบ ดังนั้นการบริหารจิตจึงเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะสร้างความสุขให้กับตัวคุณเองได้ เช่น การฝึกจิต จึงมีวิธีสร้างความสุขในการทำงานแบบง่ายๆ มาแนะนำ ดังนี้...
“อย่า” คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องเล็กน้อย
อย่าเก็บทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมาคิด หรือนำมาเป็นอารมณ์ซะทุกเรื่อง ให้คิดว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หากมัวแต่เสียเวลาคิดว่า วันนี้โดนหัวหน้าตำหนิว่าทำงานแย่มาก เพื่อนร่วมงานพูดจากระแนะกระแหน หรือพูดจาเสียดสีคุณ แม้คุณจะปฏิเสธไม่ได้ว่า พฤติกรรมของคนอื่นมีผลทำให้คุณมีความสุข หรือมีความทุกข์ได้ก็ตาม
สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบทำให้คุณไม่มีเวลาคิดจะสร้างหรือพัฒนางานของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าจะคิดมากกว่า ดังนั้นคุณต้องฝึกให้ตัวเองใช้เวลาในแต่ละวันคิดถึงเป้าหมายและวิธีที่จะไปสู่เป้าหมาย ความคิดนี้จะส่งผลให้คุณมีความกระตือรือร้นในการทำงาน และสนุกกับสิ่งที่ทำอยู่ตลอดเวลามากกว่า
“อย่า” ต่อว่าองค์กร      องค์กรเปรียบเสมือนบ้านหลังที่สอง คุณต้องใช้เวลาในชีวิตประจำวันของคุณอยู่ที่ทำงาน มากกว่าอยู่ที่บ้านของตัวเองเสียอีก หลายต่อ

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ข้อคิดสำหรับคนที่คิดเปลี่ยนงาน

<<จากพระมหาสมปอง>>
“ตั้งแต่ทำงานมา ๕ ปี ดิฉันเปลี่ยนงานเปลี่ยนบริษัทมาเกือบ ๑๐ ที่ แล้วค่ะหลวงพี่ ทำอย่างไรดีคะ ถึงจะไม่ต้องเปลี่ยนงานบ่อยๆ เพราะลำบากเรื่องการปรับตัวเหมือนกันค่ะ กลัวคนอื่นมองว่าหยิบโหย่งไม่มีน้ำอดน้ำทน” 
เดี๋ยวนี้กลายเป็นค่านิยมใหม่ไปแล้วคุณโยม ก่อนหน้านี้มีคำพูดตลกๆ ว่า เปลี่ยนแฟนบ่อยเหมือนเปลี่ยนรองเท้า เดี๋ยวนี้มีของใหม่ว่า เปลี่ยนงานบ่อยเหมือนเปลี่ยนช่องทีวี โอ้โห... เปลี่ยนบ่อยเปลี่ยนถี่เปลี่ยนไวกันเสียจริงๆ
คุณโยมบางคนที่มาปรึกษาอาตมาว่า เขียนใบสมัครงานไปเยอะมาก ใส่ประวัติการทำงานยาวเหยียด แต่ไม่มีที่ไหนรับทำงานเลย ก็จะรับเข้าไปทำไมล่ะคุณโยม ในประวัติการทำงานเขียนว่า ทำงานบริษัท ก. ๓ เดือน ทำงานบริษัท ข. ๖ เดือน ทำงานบริษัท ค. ๔ เดือน ซึ่งทำมาแล้ว ๑๐ บริษัท แต่พอเอาระยะเวลาในการทำงานมารววมกับยังได้ไม่ถึง ๒ ปีเลยคุณโยมเอ้ย
จริงๆ ปัญหานี้ค่อนข้างลำบากสำหรับอาตามาเหมือนกัน เพราะอาตมายังไม่เคยมีประสบการณ์การเปลี่ยนงานบ่อยๆ ด้วยสิ บวชเรียนมาตั้ง ๑๕ ปี ยังไม่เคยเปลี่ยนไปทำอาชีพอื่นเลยนอกจากเป็นพระ เต็มที่ก็เคยแต่ย้ายวัด แต่ก็ลองดูนะคุณโยม อาตมาอาจจะช่วยได้ไม่มากก็น้อย... ลุยเลย
สาเหตุแรกคือ การหนีปัญหา หนีความผิดพลาด เรามันมนุษย์ธรรมดานะคุณโยม ทำงานก็ย่อมมีความผิดพลาดเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดา แต่ถ้าเลือกได้เราก็คงไม่อยากให้เกิดขึ้น เพราะมันทำให้รู้สึกวิตกและหวาดกลัวเสมอ ลองสังเกตง่ายๆ ว่าเวลาทำผิดเราจะรู้สึกท้องหวิวๆ เสียวสันหลังวาบๆ ยิ่งถ้าโดนเจ้านายเรียกไปคุยแล้วล่ะก็ หัวใจหล่นไปอยู่ตาตุ่มโน้น หลายคนก็ไม่ชอบการโดนตำหนิหรือต่อว่า จึงเปลี่ยนงานหนีปัญหา… ดูดู๊ ทิ้งขี้ไว้เห็นๆ

หากเปลี่ยนงานบ่อยเพราะสาเหตุนี้ อาตมาแนะนำให้นำหลักธรรมที่มีชื่อว่า “วิริยะ” ซึ่งเป็นสมาชิกในหลักธรรมใหญ่หลักหนึ่งของพระพุทธศาสนานั่นคือ อิทธิบาท ๔ ที่อ้างไว้แต่เรื่องต้น ๆ อันประกอบไปด้วย ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา
วิริยะ หมายถึง ความเพียร ความพยายาม ความกล้าที่จะลงมือทำ กล้าเผชิญกับความทุกข์ยาก ปัญหาและอุปสรรคที่จะเกิดขึ้น หากมีอุปสรรคก็เพียรกำจัดปัดเป่าไปให้หมดสิ้นไป โดยไม่ย่อท้อ ไม่สิ้นหวัง เดินหน้าเรื่อยไปจนกว่าจะบรรลุเป้าหมาย
ลองคิดดูว่าถ้าคุณโยมเจอปัญหาแล้วคิดแค่ว่า หนีดีกว่า หลบดีกว่า ไม่คิดที่จะแก้หรือเผชิญหน้ากับความผิดพลาดนั้นเลย คุณโยมก็จะต้องหนี ต้องหลบเช่นนี้ไปตลอดชีวิต และจะไม่สามารถเรียนรู้ที่หาวิธีแก้ความผิดพลาดนั้นได้เลย การเปลี่ยนงานใหม่จึงเป็นการปัดความกลัว ความรำคาญใจไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น
แต่การจะแก้ปัญหาอย่างถาวรได้นั้น เราต้องอาศัยความเพียรเป็นที่ตั้ง ดังพุทธพจน์ที่ว่า "คนจะล่วงทุกข์ได้ก็เพราะความเพียร" มีปัญหาอย่าท้อแท้ หนทางแก้ยังพอมี
สาเหตุที่สองคือ ความคาดหวัคุณโยมหลายท่านโดยเฉพาะผู้ที่เพิ่งเริ่มทำงาน มักจะมีความคาดหวังว่างานที่ทำจะต้องเป็นงานดี เงินเดือนสูงปรี๊ด แต่เมื่องานที่ได้รับกลับตรงกันข้ามกับความคาดหวังนั้น ก็จะเปลี่ยนงานไปเรื่อยๆ เพื่อตามหาความคาดหวังนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่า หากได้งานตามความคาดหวังแล้วจะทำงานนั้นได้ดีหรือไม่
คุณโยมต้องปราบสาเหตุนี้ด้วยความไม่คาดหวัง ไม่ได้หมายความว่าเราจะหวังไม่ได้หรือละความพยายามที่จะทำความหวังนั้นให้เป็นจริง เดี๋ยวพวกแฟนๆ บ้านอะคาเดมี่จะพาลคิดว่าอาตมาไปตัดความฝันของบรรดา “นักล่าฝัน”
ความหมายของอาตมาคือ เราต้องมีความคาดหวังที่ตั้งอยู่บนความจริง ความเป็นไปได้ และถูกต้องทั้งในแง่ของทางโลกและทางธรรม ให้มีความสอดคล้องกัน
หาคุณโยมตั้งความหวังไว้มากและไม่ได้ดั่งหวังก็จะผิดหวังเสียใจมาก แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับมัน สู้คุณโยมพอใจ และรู้จักประมาณกับสิ่งที่ได้รับเสียดีกว่า ทำงานอะไรก็พอใจกับงานนั้น ได้ค่าตอบแทนเท่าไหร่ก็พอใจกับจำนวนนั้น เรียนรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ได้ให้ดีเสียก่อน แล้วจึงพัฒนาตัวเองเพื่อก้าวไปสู่สิ่งที่คาดหวังทีละนิดทีละขั้นอย่างระมัดระวัง
สาเหตุที่สามคือ ความเบื่อหน่าย คุณโยมพวกนี้เป็นพวกสมาธิสั้น ชอบความท้าทายใหม่ๆ ตลอดเวลา พอได้งานนี้ ใหม่ๆ ก็ตื่นเต้น แต่ทำไปทำมากลับเบื่อขึ้นมาเฉยๆ เปลี่ยนไปทำงานอื่น และมักจะใช้ข้ออ้างว่าต้องการหาประสบการณ์ใหม่ๆ

วิธีแก้ไขคือ ใส่ความรักลงไปในงาน นั่นคือต้องมีความรักในงานเสียก่อน แม้งานบางอย่างจะน่าเบื่อ ไร้สีสัน แต่ทุกงานก็มักจะมีข้อดี มีข้อได้เปรียบในตัวเอง คุณโยมลองมองหาข้อดีของงานที่ตัวเองทำ แล้วดึงเอาข้อดีนั้นมาใช้ มาบำรุงจิตใจ และเป็นกำลังใจในการทำงาน
อย่างใครทำงานออฟฟิศแล้วรู้สึกเบื่อ วันๆ นั่งอยู่แต่หน้าคอมพิวเตอร์ ลองคิดถึงข้อดีสิว่า อย่างน้อยคุณโยมได้แต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไปทำงาน ได้นั่งตากแอร์ ในขณะที่อีกหลายหมื่นคน เขาทำงานกลางแดดร้อนๆ กันนะ หรือใครที่ทำงานรับราชการก็อาจจะเบื่อกับระบบงาน แต่ข้อดีคือคุณโยมมีเงินเดือนประจำที่ออกตรงเวลาแน่นอน ในขณะที่คนอื่นๆ อีกหลายแสนเขากำลังใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ว่าเดือนนี้เงินเดือนจะออกไหม บริษัทจะเจ๊งไหม 
และเมื่อไหร่ที่เรายึดเอาข้อดีนั้นเป็นที่ตั้งแล้ว ความรักในงานก็เกิด แม้ข้อเสียจะนับแสนแต่ข้อดีเพียงนิดเดียวก็ชุ่มชื่นหัวใจไม่น้อยนะคุณโยม เหมือนคอแห้งอยู่กลางทะเลทราย น้ำเพียงไม่กี่หยดก็ทำให้ชุ่มชื่นและต่อชีวิตได้
เมื่อความเบื่อหน่ายก็จางหายไป ก็หมั่นเพียรฝึกฝนความสามารถให้เกิดเป็นความเชี่ยวชาญ อาตมาไปบรรยายตามห้างร้านบริษัทต่างๆ มักจะพูดให้คนทำงานฟังเสมอๆ ว่า มนุษย์จะสามารถพัฒนาไปตามที่ตนคิด อย่าดูถูกความคิดของตัวเอง “วิธีการเขียนไว้บนทราย เป้าหมายสลักไว้ในแผ่นหิน” หลักการอาจจะมีเล็กน้อย แต่วิธีการที่เราจะนำไปใช้นั้นมีเป็นร้อยเป็นพันคุณโยม ดังนั้นเพื่อเป็นการพัฒนาตัวเองต่อไป ดังบทกลอนที่ว่า “อันความรู้ รู้กระจ่างแต่อย่างเดียว แต่ให้เชี่ยวชาญเถิดจะเกิดผล”
"ไม่เกี่ยงงาน ไม่จน ไม่อด" จำสูตรนี้ไว้อีกสูตรนะคุณโยม อยากให้ทุกท่านมีความรักงานในของตัวเองและมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ เพราะนอกจากผลดีจะตกถึงคุณโยมประการหนึ่งแล้ว อีกประการหนึ่งคือ งานสมัยนี้หายาก...เจริญพร

แหล่งที่มา : http://www.dhammadelivery.com